ย้าย NAS ที่ห้องจาก VM เปลี่ยนไปเป็น on-premise แล้วจ้าา
ครบ 1 เดือนกว่าๆละที่ย้ายระบบ NAS ที่ตัวเองใช้อยู่ จาก VM ที่อยู่ในเครื่อง Server ที่ตั้งไว้ที่ห้อง ตอนนี้แยกออกมาเป็น On-Premise อีกเครื่องทำงานเป็น NAS โดยเฉพาะเลย เลยขอจดไว้สักหน่อยว่าทำอะไรไปบ้าง
ด้วยความที่ Run VM ที่เป็น XigmaNAS มาตลอดเวลา 3 ปี ก็ใช้งานได้ปกติสุขดีครับ จนกระทั่งเริ่มมี Disk บางตัวเสียหาย ทำให้ต้องปิดเครื่อง Server พร้อมกับ VM ตัวอื่นๆที่ทำงานอยู่ทั้งหมด แล้วทำการเปลี่ยน Disk แล้วต้องมานั่ง Setup ทำให้ Disk ลูกใหม่เข้ากับตัว Server (Hyper-V) แล้วก็ทำให้ตัว XigmaNAS เห็น Disk ลูกใหม่ค่อนข้างวุ่นวายพอดู เลยตัดสินใจแยกเครื่องเลยดีกว่า น่าจะดูแลง่ายกว่าเยอะ โดยมีโจทย์ง่ายๆว่า
- ราคาเครื่องรวมกันจะต้องไม่เกิน 5,000 บาท
- สามารถรองรับ HDD ได้ 4 ลูก
- เครื่องที่จัดมา ต้องกินไฟน้อยและประสิทธิภาพพอไปได้
- รองรับ TrueNAS (FreeNAS)
ตอนแรกก็ไปดู NAS ที่เป็น NAS แท้ๆที่ใส่ HDD ได้ 4 Bay เลย พบว่าราคานี่ไปไกลมาก ประเมินดูแล้ว Home User อย่างเรา ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นก็ได้ เลยเลือกเป็นจัดเครื่องเองดีกว่า
ก็ค้นหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ว่ามี CPU x86 ตัวไหนใช้ไฟน้อยๆบ้าง ราคา Mainboard ที่มี SATA 4 Port ที่พอคบหาได้ อ่อ แล้วก็ต้องเป็น SATA 3 ด้วยนะ หาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนมาเจอคลิปของบังซอลเคยรีวิว Mainboard BIOSTAR อยู่ตัวนึง ที่มี CPU Celeron แบบ AIB (Add in board) ติดมากับตัว Mainboard เลย แถมเป็น Mini-ITX อีกด้วย
เลยสนใจ Mainboard รุ่นนี้ แต่ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือ ไอ Mainboard รุ่นนี้ มันมี Port SATA อยู่แค่ 2 Port เท่านั้น เลยพยายามหารุ่นที่คล้ายๆกัน เลยไปลองๆหาใน Aliexpress ดู
ก็ลังเลใจว่าจะเลือก CPU Atom หรือว่า CPU Celeron ดี หาไปหามาเลยไปตกลงปลงใจกับ Mainboard ASRock J3455-ITX ซึ่งตอบโจทย์ทุกอย่างที่ต้องการทั้ง Port การเชื่อมต่อที่ครบถ้วนและ CPU Celeron ที่ประหยัดและแรงพอตามที่ต้องการ ซึ่ง Mainboard รุ่นนี้เป็นแบบ AIB มาด้วย ทำให้ซื้อ Mainboard ก็จะได้ CPU ติดมากับ Mainboard เลย
ตอนสั่งก็สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3,100 บาท พอดี ถือว่าราคาพอคบกันได้ๆ รอสั่งของมาประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็ได้ของมา
ต่อไปก็ไปวิ่งหา Power Supply, Case, สายเชื่อมต่อต่างๆ ส่วน RAM ผมมี RAM เก่าที่เป็น DDR3L ขนาด 8GB ที่ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เรื่อง RAM เลยใช้ของเก่าได้เลย ผมเลือกไปเดินเซียร์รังสิตเพื่อหาของที่ต้องการ ก็ได้
- Power Supply 450w ราคา 400 บาท
- สายเชื่อมต่อต่างๆ พวกสาย SATA สายไฟ ราคา 300 บาท
แต่วันนั้นไม่ได้เคสมา เพราะไม่มี Case ไหนถูกใจ เลยเอามาลองต่อทดสอบระบบก่อน ว่าสามารถทำงานได้หรือไม่ โดยรวมก็ไม่มีปัญหานะ
เอามาจับลง TrueNAS แล้วทำการ Setup ระบบ ตั้งค่า Partition ZFS ต่างๆให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้งานได้ดีนะ เปิดทิ้งมา 3-4 วันก็ไม่มีปัญหา
จนกระทังดูแล้วว่าจำเป็นต้องมี Case เพราะว่าการตั้ง HDD แบบนี้ ทำให้ความร้อนของ HDD นั้นระบายได้ไม่ดี แล้วก็มีการสะสมความร้อนในตัวมันเองไปเรื่อยๆ เลยไปหา Case Mini-ITX ที่พอจะดัดแปลงให้สามารถใส่ HDD ได้ 4 ลูกได้ สนนราคาก็ประมาณ 350 บาท
ภาพรวมหลังใช้งาน
ต้องบอกว่าโดยรวมออกมาดีเกินคาดครับ ระบบกลับมาทำงานได้โอเคมาก เนื่องจากเปลี่ยน OS ของ NAS จาก XigmaNAS เป็น TrueNAS ทำให้มีอะไรให้ลองเล่นเยอะขึ้น ส่วนตัวชอบสุดก็คงเป็น Jail (เอาจริงๆมันคือ Linux Container นี่แหละ) ที่เปิดโอกาสให้เราสามารถลง Software 3rd party ลงใน NAS ได้ โดยจะถูกลงในรูปแบบของ Container เพื่อให้ใช้งานได้เฉพาะทรัพยากรที่จัดสรรเท่านั้น ไม่สามารถไปยุ่งกับพื้นที่ส่วนอื่นได้
สิ่งที่ต้องปรับตัวอย่างนึงสำหรับผมคือ TrueNAS มันไม่มี DLNA มาให้ (DLNA เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์ในบ้านสามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เอาง่ายๆคือเราสามารถเอาหนังหรือเพลงที่เรามีใน NAS เอาไปเล่นบน SmartTV ผ่าน DLNA ได้)
พอไปหาข้อมูลใน Forum ของ TrueNAS ก็พบว่า "ต้องทำการ Config เอาเองทั้งหมด" เลยคิดๆดูแล้ว ลองเปลี่ยนไปใช้ Plex ดูดีกว่า
Plex นี่ทำผมเปิดโลกเลยทีเดียว มันเจ๋งมากตรงที่เราสามารถเลือกความละเอียดของ File หนังที่เรามี รองรับ File หลากหลายนามสกุล ถ้า File ไหน TV เล่นไม่ได้ เด่ว Plex Server จะทำหน้าที่เป็น Transcoder ให้ แต่ก็แลกมาด้วยการใช้พลัง CPU ที่เยอะพอควร ถ้าเจอไฟล์ที่ต้อง Transcode ตัว CPU จะวิ่งไป 90%-100% ตลอดเวลา แต่โดยรวมทำได้ดีครับ ไม่มีอาการกระตุกเลย
โดยรวมค่อนข้าง Happy ครับสำหรับ Project นี้ เครื่องนี้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่ปิดเลยมาเดือนกว่าๆละ จะมี Reboot บ้างเพื่อ Update Patch ของตัว OS ถือว่าคุ้มอยู่ แถมงบไม่เกิน 5,000 ด้วย